RAID (Redundant Array of Inexpensive Disk)
RAID (Redundant Array of Inexpensive Disk)
คือ การนำเอา Harddisk ตั้งแต่ 2 ตัวขึ้นไป มาทำงานร่วมกันให้ มีประสิทธิภาพสูงขึ้น หรือมีโอกาสที่จะสูญเสียข้อมูลน้อยลง ซึ่งมี 2 แบบด้วยกัน คือ Software RAID และ Hardware RAID ซึ่งระบบของ Windows Server สนับสนุน Software RAID ในระดับ 0,1 และ 5 แต่ไม่สามารถทำ hot swap(hot swap คือการที่เราสามารถ ถอดหรือเสียบอุปกรณ์นั้นๆ ตอนเครื่องกำลังเปิดอยู่)
สำหรับ Hardware RAID จะมีระบบ Fault tolerance(Fault tolerance คือ ความสามารถของระบบที่จะทำงานต่อไปได้ ใน สภาวะที่มีความเสียหายเกิดขึ้น) ในการทำงาน ซึ่งจะต้องมีคอนโทรลเลอร์ สำหรับ Disk Arrays และ สามารถทำ Hot Swap ได้เมื่อฮาร์ดดิสมีปัญหา
รูปแบบ RAID ที่นิยมใช้ในปัจจุบัน คือ
– ระดับ 0 Disk Striping
– ระดับ 1 Disk Mirroring
– ระดับ 3 Disk Striping whth a dedicate parity disk
– ระดับ 5 Disk Striping with parity distributed across multiple drive
– ระดับ 0+1 Disk Striping & Mirroring
– ระดับ 30 Disk Striping of Dedicate Parity Arrays
– ระดับ 50 Disk Striping of Distributed Parity Arrays
-
RAID 0 หรือ Disk Striping
คือ การนำ ฮาร์ดดิสตั้งแต่ 2 ตัวขึ้นไปมารวมเป็นตัวเดียวกัน และต้องกำหนดพื้นที่ ให้เท่ากันทุกก้อน โดยหลักการทำงานของ RIAD 0 คือ การเก็บไฟล์หลาย ๆ ไฟล์ลงไป ในแต่ละเซกเตอร์ของฮาร์ดดิสแบบกระจายข้อมูลไปทั่วทุกฮาร์ดดิส ข้อดีทำให้การอ่านและเขียนข้อมูลเป็นไปอย่างรวดเร็ว แต่ข้อเสียคือ ถ้ามีฮาร์ดดิสตัวใดตัวหนึ่งเสีย จะไม่สามารถกู้ข้อมูลกลับคืนมาได้เลย
RAID 0 จึงเหมาะสำหรับงานที่ต้องการ Bandwidth ในการรับ-ส่งข้อมูลใหญ่ และต้องการความเร็ว
RAID 0 จะมีขนาดความจุ จากการนำฮาร์ดดิสที่มีความจุน้อยที่สุด คูณ จำนวนไดร์ฟทั้งหมด
-
RAID 1 หรือ Disk Mirroring
คือการนำฮาร์ดดิส 2 ตัว มารวมเป็นตัวเดียวกันโดยการซิงโครไนซ์ ซึ่งข้อมูลจะถูกเขียนลงบน ฮาร์ดดิส ทั้ง 2 ตัวพร้อม ๆ กัน ถ้าหากฮาร์ดดิสตัวใดมีปัญหา อีกตัวก็จะทำงานแทนได้ ลักษณะคล้าย Virtual Disk คือการก๊อปปี้ข้อมูลที่ต้องการลงบนฮาร์ดดิสทั้ง 2 ตัว ให้ประสิทธิภาพด้านการอ่านข้อมูลมากกว่าการเขียนข้อมูล แต่การทำ Disk Mirroring จะต้องเสียเนื้อที่ 50% ของความจุฮาร์ดดิส
RAID 1 เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความปลอดภัยของข้อมูล การแบ็คอัพข้อมูล
-
RAID 3 หรือ Disk Striping whth a dedicate parity disk
RAID 3 จะมีการเก็บค่า Parity ไว้บนฮาร์ดดิส 1 ตัวต่างหาก ต้องใช้ฮาร์ดดิสก์อย่างน้อย 3 ตัว โดยใช้ 2 ตัวแรกในการเก็บข้อมูลแบบ RAID 0 คือ การกระจายข้่อมูลไปบนฮาร์ดดิสก์แต่ละตัว และเก็บค่า Parity เอาไว้ที่ฮาร์ดิส ตัวที่ 3 หลังจากที่มีการกระจายข้อมูลลงฮาร์ดดิสก์แต่ละตัวแล้ว จะใช้ฟังก์ชั่น Exclusive OR ในการหาข้อมูลสำหรับสร้าง Parity ของไดร์ขึ้น หากฮาร์ดดิสที่เก็บข้อมูลเสียก็จะใช้ข้อมูลจาก Parity และข้อมูลของฮาร์ดดิสที่เหลือมาสร้างไดร์ฟข้อมูลนั้นขึ้นมา
RAID 3 จะมีขนาดความจุ จากการนำฮาร์ดดิสที่มีความจุน้อยที่สุดคูณด้วยจำนวนไดร์ฟลบหนึ่ง เช่น ใช้ฮาร์ดดิสขนาด 80 GB จำนวน 3 ตัว จะมีความจุ 160 GB เพราะ (80 X (3-1) = 160GB การทำงานไม่เหมาะกับงานที่มีการสุ่มบ่อยครั้ง เพราะจะทำให้ Parity Disk มีการคำนวณหนักเกินไป
-
RAID 5 หรือ Disk Striped whit Rotation Parity
RAID 5 มีการเก็บข้อมูลฮาร์ดดิสแบบกระจายไปสู่ฮาร์ดดิสทุกตัว เมื่อกระจายข้อมูลแล้ว จะมีการแทรก Paryty ไว้บนฮาร์ดดิสทุกตัวแบบ Rotation Parity ทำให้พื้นที่ของ ฮาร์ดดิสหายไปแต่ไม่เกิน 30% การเก็บข้อมูลด้วยวิธีนี้เป็นการแก้ปัญหาคอขวดที่เกิดขึ้นกับ RAID3
RAID 5 ประกอบไปด้วย ฮาร์ดดิส 3 ตัวขึ้นไป โดยมีระบบ Fault Tolerance ที่มีประสิทธิภาพความเร็วในการอ่านข้อมูล เท่ากับ RAID 3 แต่จะเขียนข้อมูลช้ากว่า
RAID 5 มีขนาดความจุ จากการนำ((ฮาร์ดดิสที่มีความจุน้อยที่สุด X(ด้วยจำนวนไดร์ฟ – 1)) เช่น ใช้ฮาร์ดดิสขนาด 80 GB จำนวน 3 ตัว จะมีความจุ 160 GB เพราะ (80 X (3-1) = 160GB
RAID 5 ให้ค่าทรูพุต (Throughput) ตอบสนองดีมาก และไม่เกิดปัญหาคอขวด(Bottleneck)ในการอ่าน-เขียนข้อมูล เหมาะสำหรับงานที่้ต้องการความเสถียรภาพและความปลอดภัยของข้อมูล เช่น Application Server, Files Server, Mail Server , WebServer
-
RAID 0+1 หรือ Disk Striping & Mirroring
RAID 0+1 หรือ RAID 10 เป็นการรวมคุณสมบัติการทำงานของ RAID 0 และ RAID 1 คือ RAID 0 ในการจัดเก็บข้อมูลแบบกระจายไป ยังฮาร์ดดิสทุกตัว จากนั้นใช้ RAID 1 จัดการแบ็คอัพข้อมูลไปในต้ว ในการทำ RAID 10 จะต้องใช้ฮาร์ดดิสอย่างน้อย 4 ตัว
-
RAID 30 หรือ Disk Striping of Dedicate Parity Arrays
RAID 30 เป็นการรวมการทำงาน ของ RAID 0 และ RAID 3 เข้าด้วยกัน ต้องใช้ฮาร์ดดิสอย่างน้อย 6 ตัว RAID 30 จะมองโครงสร้างของฮาร์ดดิสทั้งหมดเป็น RAID 0 โดยจะแยกออกเป็น 2 ส่วน และแต่ละส่วนจะเก็บข้อมูลในแบบ RAID 3 และมีการสร้าง Parity ขึ้นในแต่ละฝั่ง
RAID 30 จะมีขนาดความจุ จากการนำ ฮาร์ดดิสที่มีความจุน้อยที่สุด คูณด้วยจำนวนฮาร์ดดิสที่น้อยกว่าอยู่ 2 ไดร์ฟ
-
RAID 50 หรือ Disk Striping of Distributed Parity Arrays
RAID 50 เป็นการรวมคุณสมบัติของ RAID 0 และ RAID 5 ต้องใช้ฮาร์ดดิสอย่างน้อย 6 ตัว RAID 50 จะมองโครงสร้างของฮาร์ดดิสทั้งหมดเป็น RAID 0 และมีการสร้าง Parity กระจายไปบนฮาร์ดดิสทุกตัว